Social Icons

Featured Posts

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เทคโนโลยีการจัดการความรู้



1.วิกิพีเดีย
ข้อดีของวิกิ : ใช้งานง่ายมาก x ความมีประโยชน์ = ความมีส่วนร่วมสูง
วิกิ เป็นตัวอย่างของเครื่องมือทางเครือข่ายสังคม ที่มีพื้นฐานการใช้งานบนเว็บและมีรูปแบบอิสระ เนื่องจากวิกิ เป็นเว็บที่มีความเชื่อมโยงเว็บเพจภายใน แต่ละเพจประกอบด้วยแนวความคิด (ชื่อ) และมีคำอธิบายแนวความคิดนั้น (บทความ) ผู้ ใช้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปรับปรุงเนื้อหาของบทความและสร้างบทความใหม่ ตัวอย่างของวิกิที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดี ก็คือ วิกิพีเดีย สารานุกรมออนไลน์นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2001 และมีบทความเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้าน บทความ (ภาษาอังกฤษ) คุณภาพของสารสนเทศในวิกิพีเดียคล้ายกับสารานุกรมบริเทนนิกา ความที่ใช้งานง่าย จึงมีส่วนทำให้คนเข้ามาร่วมเขียนบทความสูงมาก
วิกิ = ระบบการจัดการเนื้อหา + กรุ๊ปแวร์
วิกิเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ โดยการรวมเครื่องมือ 2 ประเภทอยู่ด้วยกัน กล่าวคือ เป็นระบบการจัดการเนื้อหา วิกิถูกใช้ในการจัดการเว็บเพจ (บทความ) และ เอกสารอื่นๆ  สารสนเทศในวิกิ ถูกจัดเก็บเป็นหมวดหมู่และสามารถค้นคืนได้ อีกประการหนึ่ง เป็นลักษณะของกรุ๊ปแวร์ วิกิถูกใช้ในการเพิ่มความสามารถในการสื่อสารและความร่วมมือ เมื่อหน้าวิกิถูกปรับเปลี่ยนโดยใครก็ตาม คนอื่นๆ ก็สามารถการสร้างเอกสารเว็บได้ การรวมกันระหว่างระบบการจัดการเนื้อหาและระบบความร่วมมือเป็นระบบเดียวกัน นั้น มีทั้งความสำคัญและความแตกต่าง เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างความรู้ (ด้วยความร่วมมือกัน) และ เครื่องมือสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ภายใน (การจัดการเนื้อหา) รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว
การใช้วิกิในองค์กร: แพร่กระจายเหมือนไวรัส
คนในองค์กรขยายวงการใช้วิกิจากการจัดการเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ไปเป็นการรวมจากสอง และกลายเป็นกลุ่ม วิกิถูกใช้กันอย่างอิสระ  แผ่ขยายการใช้งานไปทั่วทั้งองค์กร ด้วยความตระหนักในความสำคัญของการใช้วิกิ โดยใช้วิกิ เพื่อ

การนำไปใช้
ลักษณะของการใช้งาน
การผลิตเอกสาร:
เอกสาร ในรูปแบบต่างๆ เช่น เวิร์ด เอ็กเซล พีดีเอฟ เป็นต้น สามารถถูกแนบเข้าไปในวิกิ เนื้อหาของเอกสารสามารถถูกทำให้สืบค้นได้ วิกิจึงเหมือนทำหน้าที่เป็นระบบพื้นฐานของการจัดการเอกสาร
การจัดการโครงการ:
วิกิสามารถติดตามสถานภาพของโครงการได้ อย่างง่ายๆ ทั้ง วาระการประชุม สถานภาพของรายงาน รายงานความก้าวหน้า มาตรฐานและแนวปฏิบัติสามารถถูกสร้างได้ในวิกิ วิกิบางโปรแกรมมีโปรแกรมการจัดการโครงการติดไว้ด้วย
 
การทำงานร่วมกัน:
วิกิเป็นเสมือนพื้นที่ในการทำงานร่วมกัน เอกสารถูกนำขึ้นและปรับปรุงผ่านเว็บ โดยอนุญาตให้หลายๆ คนเห็นและเปลี่ยนเอกสารโดยที่ไม่ต้องอัพโหลด ดาวน์โหลด หรือต้องอีเมล ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันเหมือนเป็นร่างเอกสาร รายชื่อ และรายงาน โดยไม่ต้องส่งเอกสารกลับไป-มา การแก้ไขทั้งหมดสามารถดูได้และเปลี่ยนกลับไป-มาได้
การสื่อสารระหว่างกลุ่มคนที่อยู่คนละภูมิภาค:
เนื่องจากวิกิสามารถเข้าถึงผ่านเว็บ สารสนเทศจึงสามารถถูกแลกเปลี่ยนได้อย่างง่ายท่ามกลางผู้ใช้ที่อยู่คนละซีกโลก
อีเมลกลุ่ม:
หน้าของวิกิสามารถส่งไปยังกลุ่มของผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถดู เพิ่มเอกสาร และเปลี่ยนแปลงเอกสารบนเพจด้วยตนเอง ข้อความที่เพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงจะถูกส่งไปกลุ่มผู้ใช้ทั้งหมดได้ทันที
การสร้างความรู้ส่วนตัว/เผยแพร่ภายนอก:
ด้วยระบบของวิกิ แต่ละหน้าสามารถมีระบบความปลอดภัยติดอยู่ ดังนั้นผู้ใช้สามารถที่จะสร้างเอกสารส่วนตัวได้ บางแห่งใช้วิกิในการสร้างความรู้ทั้งภายในและเผยแพร่ภายนอกองค์กรด้วย
การผลิตสารสนเทศและผลิตเอกสาร:
บางองค์กรใช้วิกิในการเก็บ สารสนเทศและเอกสารที่ผลิตขึ้นเอง เพจของวิกิ สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและง่าย โดยการเลือกผู้ใช้และจัดการระบบให้สามารถใช้ได้ทั้งลูกค้าและหุ้นส่วน
การตลาด/การรับผิดชอบต่อสังคม:
วิกิถูกใช้สำหรับการติดตามแนวโน้มของตลาด การรวบรวมข้อมูล ข้อมูลการขายแต่ละวัน ข้อมูลลูกค้าและหุ้นส่วน การสื่อสารกับลูกค้า
การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ:   
เกือบทุกอย่างที่เกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับการสนับสนุนโดยการใช้วิกิ กล่าวคือ เอกสารการติดตามเรื่อง การใช้งานภายใน การออกบบคุณภาพและกระบวนการ เอกสารอ้างอิง การตั้งค่าระบบ การเขียนคุณลักษณะของโปรแกรม คู่มือการติดตั้งโปรแกรม ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้วิกิในลักษณะงานดังกล่าว ในการติดตามเอกสารและบันทึกเกี่ยวกับการติดตั้งและบักที่เกิดขึ้น และใช้ในการบันทึกแนวปฏิบัติที่ดี ข้อมูลที่ต้องสนับสนุนผู้ใช้ ระบบที่ถูกร้องขอสำหรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ คู่มือการติดตั้งและการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์
สมุดหน้าเหลืองของบริษัท:
วิกิสามารถบันทึกข้อมูลของผู้ใช้และความเกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆ หรือขุมความรู้ของคนในบริษัท
การเป็นเวทีของลูกค้า:
วิกิถูกใช้เป็นพื้นที่ให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายได้
การจัดการข้อมูลส่วนตัว:
วิกิถูกใช้เพื่อการจัดการข้อมูล ส่วนตัว โดยการบันทึกง่ายๆ รายการที่ต้องทำ วิธีการทำ ตารางการไปเที่ยว รูปภาพ สมุดที่อยู่ ปฏิทินและบล็อก ภายนอกบริษัท ผู้ใช้ใช้ในการติดตามหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสมาชิกและเพื่อนๆ
ชุมชนนักปฏิบัติ:
มีหลายตัวอย่างที่วิกิถูกนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างชุมชนนักปฏิบัติด้วยกันหรือกลุ่มอื่นๆ
การสร้างสรรค์แนวความคิด:
วิกิถูกใช้เป็นพื้นที่ในการระดมสมอง การอภิปรายแนวความคิดต่างๆ


2. Webblog

Web Blog  หรือ Blog คือเวบไซค็ทีให้พื้นที่ส่วนตัวแก่ผู้ใช้บริการ โดยมีฟั่งชั่นต่างต่างให้เลือกใช้งาน เช่นพื้นที่สำหรับเขียนประวัติ ไดอารี่ กล่องบทความ อัลบั้มรูป เวบบอร์ด  สามารถโพสบทความหรือเรื่องราวของสินค้า กิจกรรมที่บริษัทดำเนินการ ปรับแต่งหน้าตาได้เหมือนเวบไซค์ สามารถจดทะเบียนเป็นชื่อเจ้าของได้ เชื่อมต่อ social network เช่น facebook ,Tweeter ,Goolgle  โพสคลิบวีดีโอ หรือ ทำเป็นอัลบั้มรูปถ่ายสินค้าส่วนตัว
ที่สำคัญ blog สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ง่าย ข้อมูลจะสามารถเก็บไว้ได้ตลอด สามารถเก็บไว้ดูเองหรือจะเปิดให้ผู้อืนเข้ามาดูได้ หรือใช้ในรูปสมาชิกก็ได้ ปัจจุบันนิยมใช้ Blog เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารให้กับลูกค้า เช่น ถ้าเราทำร้านค้าออนไลท์ จะพบว่าการที่ใครจะเข้ามาซื้อของเราไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการแข่งขันสูง ความเชื่อมั่นในตัวสินค้า ดังนั้นเราจำเป็นต้องสร้างBlog ขึ้นมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า อธิบายรายละเอียด  ให้ความรู้เกี่ยวกับคำแนะนำสินค้า  เรานำ Blog เข้ามาจัดการ เนื่องจาก Web Blog สามารถ up date ได้ง่าย และมีการให้ข่าวสาร หรือเรื่องที่ใกล้เคียงสินค้า  เพื่อแนะนำให้คนเข้ามายังเวบไซค์ร้านค้าออนไลน์ ด้วยการเชื่อม Blog กับเวบไซค็หลักของเรา

3. Video conference
รู้จักกับ Video Conference
การประชุมทางไกล (Videoconferencing) เป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือองค์กร
ในการใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระยะไกล ที่ลดเวลา ลดต้นทุนงบประมาณ การสื่อสารในปัจจุบัน
ช่วยให้การดำเนินชีวิตคนเรามีความสะดวก สบายมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ที่มีเครือข่าย
อยู่ทั่วประเทศสามารถประชุมกันได้ โดยไม่ต้องมาเข้าห้องประชุมที่เดียวกัน
ความหมาย
การประชุมทางไกล (Videoconference) คือ การนำเทคโนโลยีสาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องโทรทัศน์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน เป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานที่ ไม่จำกัดระยะทางสามารถประชุมร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ การส่งข้อความและภาพสามารถส่งได้ทั้งทางสายโทรศัพท์คลื่นไมโครเวฟ สายไฟเบอร์ออฟติกของระบบเครือข่าย และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม โดยการบีบอัดภาพเสียงและข้อความ กราฟิกต่างๆ ไปยังสถานที่ประชุมต่างๆ ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเห็นภาพและข้อความต่างๆเพื่ออภิปรายร่วมกันได้เพื่อสนับสนุนในการประชุมให้มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์
Video conference หรือการประชุมทางไกล ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนหรือกลุ่ม คน ซึ่งอยู่กันคนละสถานที่สามารถติดต่อกันได้ทั้งภาพและเสียง โดย ผ่านทางจอภาพซึ่งอาจเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ ผู้ชมที่ฝั่งหนึ่งจะเห็นภาพของอีกฝั่งหนึ่งปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ของ ตัวเองและ ภาพของตัวเองก็จะไปปรากฏยังโทรทัศน์ของฝั่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน คุณภาพของภาพและเสียงที่ได้จะขึ้นอยู่กับความเร็วของช่องทางสื่อสารที่ ใช้เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองฝั่งอุปกรณ์ที่ต้องมีในระบบประชุมทางไกลนี้ ก็ ได้แก่ จอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์, ลำโพง,ไมโครโฟน, กล้อง และอุปกรณ์ Codec ซึ่งเป็นตัวเข้ารหัสสัญญาณภาพและเสียงที่ได้จากกล้องและไมโครโฟนสง ผ่านเส้นทางสื่อสารไปยังอีกฝั่งหนึ่ง รวมถึงถอดรหัสสัญญาณที่ได้รับ มาอีกฝั่งให้กลับเป็นสัญญาณภาพและเสียงแสดงบนจอและลำโพงนั่นเองเส้นทางสื่อสารขนาด 384 Kbps ขึ้นไปก็สามารถให้คุณภาพภาพในระดับที่ยอมรับได้ โดยอาจใช้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ISDN หรือ ATM เป็นต้น ข้อดีของการประชุมทางไกล คือสามารถให้ความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งจะประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และยังช่วยแก้ปัญหาจราจรได้ทางหนึ่ง



4. One drive
             ไมโครซอฟท์ ประกาศเปิดให้บริการ One drive ที่เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลแบบออนไลน์ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ SkyDrive โดยที่ One drive ช่วยให้ทุกคนสามารถจัดเก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ และเอกสารต่างๆ สามารถเปิดดูได้จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยคลายความกังวลเรื่องข้อมูลในเครื่องสูญหาย มีสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ รวมไปถึงการปรับปรุงการแบ่งปันไฟล์วิดีโอและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows Phone, iOS, Android, และ Xbox One drive ให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 7 GB โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเท่ากับพื้นที่รูปภาพมากกว่า 7,000 รูป ทั้งหมดนี้ทำให้รูปภาพ วิดีโอ และเอกสารต่างๆ ของคุณมีความปลอดภัยและสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากต้องการใช้งานเพิ่มเติมสามารถเลือกซื้อพื้นที่ได้ครั้งละ 50,100 และ 200 GB

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ



ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ (Key Success Factors) ของการจัดการความรู้

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ (Key Success Factors) ของการจัดการความรู้ในองค์กรอาจ ได้จากการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้จากประสบการของ   หน่วยงานต่างภายในองค์กร และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทของหน่วยงานตนเองได้โดยอาจมีวิธีการดังต่อไปนี้

1.ผู้บริหาร การจัดการความรู้ใน องค์กร ผู้บริหารควรมีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายสนับสนุน และมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ เช่นกิจกรรมระดมสมองผู้บริหาร หรือการประชุมจัดทำแผนยุทธศาสตร์

2.จิตอาสา การดำเนินการจัดการความรู้ในองค์กร องค์กรควรส่งเสริม  และ พัฒนาการทำงานแบบจิตอาสาโดยเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีความตั้งใจ และสนใจในการการพัฒนาองค์กรไป สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ เข้ามามีบทบาท ในการดำเนินงานจัดการความรู้

3.สร้างทีมขับเคลื่อน เพื่อให้การดำเนินการจัดการ ความรู้ในองค์กร มีการขับเคลื่อน ไปข้างหน้า ได้อย่างต่อเนื่อง องค์กรควรจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อปู พื้นฐานการจัดการความรู้ใน  องค์กรและพัฒนาบุคลากรให้เป็น ผู้ที่สามารถดำเนินการการจัดการความรู้ได้เช่น การอบรมบุคลากรเพื่อทำหน้าที่  เป็นคุณอำนวย  (Knowledge  Facilitator)  คอยอำนวยความสะดวกและกระตุ้นการดำเนินการจัดการความรู้ เป็นต้นซึ่งจะทำให้องค์กรเกิดการ ก้าวกระโดดจนถึงระดับการนำองค์กรไปสู่องค์กรแห่ง
การเรียนรู้ได้

4.กระบวนการคุณภาพ PDCA (Plan Do Check Act)  เพื่อให้การดำเนิน การจัดการความรู้ใน  องค์กรเกิดการ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและ พัฒนาอย่างมีคุณภาพ ควรทำหลักการ  PDCA (Plan Do Check Act) มาใช้ในการดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ของการจัด การความรู้ในองค์กรเริ่มตั้งแต่มีกระบวนการวางแผน การจัดการความรู้ มีการปฏิบัติการตามแผน มีการนำองค์ความรู้สู่ การปฏิบัติมีการวิเคราะห์ปรับปรุง การดำเนินงานมี คณะทำงานติดตาม อย่างจริงจังมี การรายงานต่อ ผู้บริหาร
และบุคลากรทุกระดับอย่างทั่วถึง และมีคณะกรรมการประสานงาน เพื่อแก้ไขปัญหา

5.การเปิดหูเปิดตาบุคลากรในองค์กร เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของการจัดการความรู้ในองค์กรของบุคลากรในองค์กร ซึ่งอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมการประชุมชี้แจงแก่บุคลากร เป็นต้น

6.การเปิดใจยอมรับ เพื่อให้บุคลากรเปิดใจยอมรับการดำเนินการจัดการความรู้ในองค์กรและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์กรอาจดำเนินการได้โดย การทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การสอดแทรกกิจกรรมการยอมรับความคิดเห็นซึ่งกัน แลกัน เช่น BeforeAction Review (BAR) และ After Action Review (AAR) เป็นต้น

7.การมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมใน การจัดการความรู้จากหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร และ หน่วยงานภายนอกองค์กรควรจัดกิจกรรมเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่สนใจเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็น  

8.การสร้างบรรยากาศ การดำเนินการกิจกรรมการจัดการความรู้ ควรมีการสร้างบรรยากาศที่ เหมาะสมต่อกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การยอมรับความคิดเห็นของบุคลากรซึ่งอาจทำได้ในรูปแบบต่างๆ เช่น กิจกรรมสภากาแฟการเปลี่ยนสถานที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำเทคนิค  Edutainment  มาใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือ การเสริมสร้างบรรยากาศใหม่ให้เร้าใจเป็นต้น

9.การจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการจัดการความรู้องค์กรควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Forum) เพื่อสกัดขุมความรู้ออกมาจากกระบวน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และบันทึกไว้ใช้งานต่อ และ เกิดการตื่นตัวในการเรียนรู้ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบเช่น ชุมชนแห่งการเรียนรู้หรือ ชุมชนนักปฏิบัติ (Communities of PracticeCop) การเล่าเรื่องแบบ SST (Success Story Telling) กระบวนการสุนทรีสนทนา (Dialogue) เป็นต้น

10.การให้รางวัล ยกย่องชมเชย เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิด  การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ การมีส่วนร่วมของบุคลากรในทุกระดับโดยข้อควรพิจารณาได้แก่ ค้นหาความต้องการของบุคลากร, แรงจูงใจระยะสั้นและระยะยาว,บูรณาการ  กับระบบที่มีอยู่, ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับ  กิจกรรมที่ทำใน แต่ละช่วงเวลาการ  ให้รางวัล  ยกย่องชมเชย อาจทำได้โดย  การประเมินผลพนักงานการประกวดเรื่องเล่าเร้าพลังการประกวด Cop ดีเด่นการมอบโล่รางวัลหรือเกียรติบัตร  หรือจัดให้มีเงินรางวัลพิเศษเป็นต้น

11.การจัดเอกสารประกันคุณภาพ(QA Document) เพื่อให้การดำเนินงานการจัดการความรู้ในองค์กรสามารถตรวจสอบและ ประกันคุณภาพได้องค์กรควรเก็บ รวมรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างเป็น ระบบเช่นจดหมายเวียนประกาศ  ใช้แผนดำเนินงาน การถอดบทเรียนคู่มือการจัดการความรู้  การจัดเก็บเอกสารที่เป็นคลังความรู้ทั้งนี้อาจใช้ซอฟท์แวร์มาช่วยในการบริหารจัดการ


12.การสื่อสารภายในองค์กร  เพื่อให้บุคลากรในองค์กรทุกคน ทุกระดับสามารถติดตาม ข้อมูลข่าวสาร การดำเนินการจัดการความรู้ในหน่วยงานได้อย่าง ต่อเนื่องควรทำการสื่อสารกับ บุคลากรซึ่งอาจดำเนินการ ได้โดยการจัดทำวารสาร/จุลสารการจัดการความรู้ การจัดทำเว็บไซต์ การจัดการความรู้  การจัดทำ  บันทึกบทความ ของตนเอง (Personal  Journal) ลงบนเว็บไซต์ หรือ web blog ซึ่งมีเครื่องมือ หรือ ซอฟท์แวร์ที่ใช้ ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น Word Press หรือ MovableType เป็นต้น

โมเดลปลาทู



โมเดลปลาทู (Tuna Model )
ประพนธ์ ผาสุขยืด (2547) ได้เสนอกรอบความคิดการจัดการความรู้ แบบปลาทู (Tuna Model) เป็นกรอบความคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) โดยเปรียบการจัดการความรู้เสมือนปลาหนึ่งตัว ซึ่งมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ลำตัว และหางปลา
ตัวแบบปลาทู (Tuna Model) ที่เปรียบการจัดการความรู้เหมือนปลาหนึ่งตัว โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้คือ

ภาพที่ 1  โมเดลปลาทู (Tuna Model )
ที่มาของภาพ : https://kawisara2537.wordpress.com/2015/11/05/โมเดลปลาทู/
1.ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) ส่วนที่เป็นเป้าหมาย คือเป้าหมาย วิสัยทัศน์หรือทิศทางของการจัดการความรู้ มองหาเส้นทางที่เดินทางไป แล้วคิดวิเคราะห์ว่า จุดหมายอยู่ที่ไหนต้องว่ายแบบใดไปในเส้นทางไหน และไปอย่างไร ในที่นี้เราจะเปรียบเป็น การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) ก่อนที่เราจะทำงานอะไรซักอย่างเราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไร จุดหมายคืออะไร และต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ความเป็นจริงของการจัดการความรู้ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นกระบวนการหรือกลยุทธ์ที่ทำให้งานบรรลุผลตามที่ต้องการโดยใช้ความรู้เป็นฐานหรือเป็นปัจจัยให้งานสำเร็จ อาทิเช่น
·         การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะสู่ความเป็นเลิศ
·         การจัดการความรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพให้ได้รับการรองรับมาตรฐาน
·         การจัดการความรู้ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารงาน โดยที่ส่วนหัวปลาจะต้องเป็นของผู้ดำเนินกิจกรรมการจัดการความรู้ทั้งหมด หรือ คุณกิจโดยมี คุณเอื้อและ คุณอำนวยคอยช่วยเหลือ
2.ส่วนกลางลำตัว (Knowledge Sharing : KS) เป็นส่วนกิจกรรม คือ ส่วนลำตัวที่มีหัวใจของปลาอยู่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ในที่นี้เราจะเปรียบเป็น การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) คือเราจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศที่เกิดการเรียนรู้เพื่อให้คนเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน จัดเป็นส่วนสำคัญที่สุด และยากที่สุดในกระบวนการจัดการความรู้ ทั้งนี้เพราะจะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คนยินยอมพร้อมใจที่จะแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันโดยไม่หวงวิชา โดยเฉพาะความรู้ที่ซ่อนเร้นหรือความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวผู้ปฏิบัติงานหรือคุณกิจ พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้และเกิดนวัตกรรม ส่วนตัวปลา บุคคลที่เป็นผู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คือ คุณกิจโดยมี คุณอำนวยเป็นผู้คอยจุดประกายและอำนวยความสะดวก
        สรุปว่า ในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่แนบแน่นอยู่กับการทำงานนี้ เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสภาพจิตทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับมีสติรู้สำนึก ระดับจิตใต้สำนึก และระดับจิตเหนือสำนึกอย่างซับซ้อน  โดยที่จิตของสมาชิกทุกคนมีอิสระในการคิด การตีความตามพื้นฐานของตน  การแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้อาศัยพลังความแตกต่างของสมาชิก โดยมีจุดร่วมอยู่ที่การบรรลุ หัวปลาของการจัดการความรู้ และ หัวปลาขององค์กร
3.ส่วนที่เป็นหางปลา (Knowledge Assets : KA) เป็นส่วนการจดบันทึก คือ องค์ความรู้ที่องค์กรได้เก็บสะสมไว้เป็นคลังความรู้หรือขุมความรู้ ซึ่งมาจาก 2 ส่วนคือ
·       ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้เปิดเผย (Eplicit Knowledge) คือ ความรู้เชิงทฤษฎีที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เอกสาร ตำรา และคู่มือปฏิบัติงาน เป็นต้น
·       ความรู้ซ่อนเร้นหรือความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน ไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เมื่อบุคคลออกจากองค์กรไปแล้ว และความรู้นั้นยังคงอยู่กับองค์กร ไม่สูญหายไปพร้อมกับตัวบุคคล
        การจัดการความรู้ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บ จัดหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการเข้าถึง และปรับปรุงความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ (Update) ช่วยทำหน้าที่เป็นพื้นที่เสมือน (Virtual Space) ให้คนที่อยู่ไกลกันสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share and Learn) ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น บุคคลที่เป็นผู้สกัดแก่นความรู้ คือ คุณกิจโดยมี คุณลิขิตเป็นผู้ช่วยจดบันทึก โดยที่ในบางกรณี    “ คุณลิขิตก็ช่วยตีความด้วย
        ในสังคมไทยมีการจัดการความรู้ที่ทำกันอยู่ตามธรรมชาติ โดยไม่รู้ตัวอยู่ไม่น้อย กล่าวคือมี ตัวปลาหรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการทำงานร่วมกัน แต่มักจะละเลย หางปลาคือการจดบันทึกความรู้ปฏิบัติ สำหรับไว้ใช้งานและยกระดับความรู้ในสังคมไทยจึงควรกำหนดให้มี คุณลิขิต”  คอยทำหน้าที่นี้โดยตรง
        หากเปรียบการจัดการความรู้เหมือนปลาตัวหนึ่ง ซึ่งมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว กลางลำตัว และหาง รูปร่างของปลาแต่ละตัวหรือการจัดการความรู้ของแต่ละองค์กรจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับจุดเน้นขององค์กรนั้น ๆ เช่น บางองค์กรเน้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งหมายถึง ส่วนกลางลำตัวปลาก็จะใหญ่กว่าส่วนอื่น ๆ ในขณะที่บางองค์กรอาจจะเน้นที่คลังความรู้และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง องค์กรนั้นจะมีส่วนหางปลาใหญ่กว่าส่วนอื่น ๆ โดยทุกส่วนนั้นมีความสำคัญ และ เชื่อมโยงถึงกันเพื่อให้การจัดการความรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหากส่วนใดที่ทำแล้วบกพร่องหรือไม่ชัดเจนก็จะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ตามมาด้วย

ภาพที่ 2  ตัวแบบทูน่า (Tuna Model ) สำหรับการบูรณาการระบบสารสนเทศบุคลากร
ที่มาของภาพ : http://www.thaiall.com/blog/burin/6185/
ตัวแบบทูน่า (Tuna model) โดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด (2550: 21-26)เป็นตัวแบบหนึ่งของการจัดการความรู้ ที่นำมาประยุกต์ และเพิ่มระบบย่อยเข้าไปในแต่ละส่วน ให้เป็นตัวแบบที่ใช้อธิบายการพัฒนาการบูรณาการระบบสารสนเทศบุคลากร โดยใช้ตัวแบบทูน่าซึ่งตัวแบบกำหนดเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก ส่วนกำหนดทิศทาง (Knowledge Vision)
1. วิสัยทัศน์/นโยบาย (Vision)
2. ตัวบ่งชี้ความสำเร็จ 
INDICATOR)
3. แผนปฏิบัติการ (Plan)
4. จัดสรรทรัพยากร (Resource)
ส่วนที่สอง ส่วนแลกเปลี่ยน และแบ่งปัน (Knowledge Sharing)
1. กลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Group Discussion)
2. วิเคราะห์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง (Analysis)
3. ฝึกใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้อง (Practice)
4. สังเคราะห์ แล้วแบ่งปัน (Synthesis)
ส่วนที่สาม ส่วนสะสม (Knowledge Asset)
1. รวบรวมความรู้เข้าคลัง (Collection)
2. จัดการความรู้ (Management)
3. ประเมินความรู้ (Evaluation)
4. เผยแพร่ความรู้ (Sharing)
มีการไหลของวิสัยทัศน์จากหัวปลาไปหางปลาซึ่งผู้บริหารกำหนดวิสัยทัศน์ในแบบ
(
Top-Down Direction)และมีการไหลของความรู้ขึ้นมาจากหางปลาไปสู่หัวปลาซึ่งความรู้ถูกเรียกใช้ขึ้นมาจากทุกระดับ (Bottom-up Direction)

บรรณานุกรม
          KAWISARA2537. 2015. โมเดลปลาทู (Tuna Model ). (ออนไลน์). แหลงที่มา : https://kawisara2537.wordpress.com/2015/11/05/โมเดลปลาทู/ วันที่สืบค้น[4 ธันวาคม 2559].
          บุรินทร์ รุจจนพันธุ์. 2014. การปรับใช้ตัวแบบทูน่า (Tuna model) ในการพัฒนาระบบ. (ออนไลน์). แหลงที่มา : http://www.thaiall.com/blog/burin/6185/วันที่สืบค้น[7 ธันวาคม 2559].



กรณีศึกษาของบริษัท







กรณีศึกษาของบริษัท


ทีโอที กับ การจัดการความรู้




 








คลิปวิดีโอสอนเรื่องการจัดการความรู้





การจัดการความรู้ ตอน แนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการความรู้






การจัดการความรู้ ตอน องค์กรแห่งการเรียนรู้




การจัดการความรู้ ตอน การรวบรวมและจัดเก็บองค์ความรู้





การจัดการความรู้ ตอน แนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการความรู้





การจัดการความรู้ ตอน การจัดทำแผนการจัดการความรู้

ความหมายของ KM

ความหมายของ KM (Knowledge Management)
            การจัดการความรู้ (Knowledge Management) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า KM คือ เครื่องมือเพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้  โดยการจัดการให้มีการค้นพบความรู้ ความชำนาญที่แฝงเร้นในตัวคน หาทางนำออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตกแต่งให้ง่ายต่อการใช้สอยและมีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีการต่อยอดให้งดงาม และใช้ได้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงและกาละเทศะยิ่งขึ้น มีความรู้ใหม่หรือนวัตกรรมเกิดขึ้นจากการเอาความรู้ที่ไม่เหมือนกันมาเจอกัน 
            หลักสำคัญของการจัดการความรู้ คือ กระบวนการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคน ในการดำเนินการจัดการความรู้มีบุคคลหรือคนสำคัญในหลากหลายบทบาทหลากหลายรูปแบบ ที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองให้ดีที่สุดแต่ต้องมีการทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทำงานที่ดีและเหมาะสมที่สุด เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างสวยงามกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ในที่สุด 
คุณธรรม 8 ประการของการจัดการความรู้ 
            1. ศีลธรรมพื้นฐาน ศีลธรรมพื้นฐานของสังคมคือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ศีลธรรมพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การจัดการความรู้มีพื้นฐานอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ความรู้ที่อยู่ในตัวคนทุกคน จึงเป็นรูปธรรมแห่งการปฏิบัติที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน
            2. การไม่ใช้อำนาจ การใช้อำนาจจะไปปิดกั้นกระบวนการตามธรรมชาติ คือ การรับรู้ เรียนรู้ งอกงาม ถักทอเครือข่าย เมื่อใช้อำนาจจะทำให้กระบวนการตามธรรมชาติบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
            3. การฟังอย่างลึก (deep listening) การนำความรู้ที่แฝงเร้นในตัวออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ต้องมีการคุยที่เน้นการฟังอย่างลึก ไม่ใช้โต้เถียงกันโดยหวังเอาชนะ การฟังอย่างลึกและเงียบ จิตใจสงบ มีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เกิดปัญญา
            4. วิธีการทางบวก คือ เอาความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของสิ่งที่เคยทำด้วยดีเป็นตัวตั้ง นำมาเห็นคุณค่าและชื่นชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดให้งดงามและมีประโยชน์ยิ่งขึ้น วิธีการทางบวกทำให้มีความปิติ มีกำลังใจ มีความสามัคคี และมีพลังสร้างสรรค์ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในอนาคต
            5. การเจริญธรรมะ 4 ประการ ที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ร่วมกัน ปกติมนุษย์เรียนรู้ร่วมกันยากเพราะกิเลส เช่น ความโกรธ ความเกลียด อหังการ การจะเรียนรู้ร่วมกันควรเจริญธรรมะ 4 ประการ ได้แก่ ความเอื้ออาทร ความเปิดเผย ความจริงใจ และความเชื่อถือไว้วางใจกัน 
            6. การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (interactive learning through action) เป็นอิทธิปัญญา ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่เนื่องด้วยการปฏิบัติและการจัดการความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ให้การปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเป็นผลสำเร็จ
            7. การถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและสังคม การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้บุคคลทั้งโดยตัวบุคคลหรือภายในองค์กรเดียวกันหรือข้ามองค์กรเข้ามาเชื่อมโยงกันโดยความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แต่เชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นเครือข่ายทั้งภายในองค์กรและข้ามองค์กร
            8. การเจริญสติในการกระทำ การเจริญสติคือการรู้ตัว ทำให้จิตใจสงบ มีอิสรภาพ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น สัมผัสความจริงได้ ควบคุมความคิด การพูดและการกระทำได้ ทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นความงาม ความดี และความสุข
บุคคลที่มีส่วนร่วมในการจัดการความรู้
person 
            ในกระบวนการการจัดการความรู้ในแต่ละองค์กร ควรประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
            1. "คุณเอื้อ" คือผู้ที่ทำให้เกิดผลงาน KM มีหน้าที่คัดเลือกหาทีมงานจากหลายสังกัดมาเป็นแกนนำ สนับสนุนทรัพยากรแก่ทีมงานอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกิดจากความสำเร็จหลากหลายรูปแบบ  
            2. "คุณอำนวย" ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  ทั้งในเชิงกิจกรรม เชิงระบบ และเชิงวัฒนธรรม  
            3. "คุณกิจ" ผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ร้อยละ 90-95 อาจสรุปได้ว่าคุณกิจคือผู้จัดการความรู้ตัวจริง เป็นผู้มีความรู้ (Explicit Knowledge) และเป็นผู้ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อการปฏิบัติให้บรรลุถึง “เป้าหมาย/หัวปลา” ที่ตั้งไว้ 
            4. "คุณลิขิต" ทำหน้าที่จดบันทึก ในกิจกรรมการจัดการความรู้ อาจทำหน้าที่เป็นการเฉพาะกิจ หรือทำหน้าที่เป็นระยะยาว กึ่งถาวรในกิจกรรมจัดการความรู้ของกลุ่ม หรือ หน่วยงาน หรือองค์กร สิ่งที่ “คุณลิขิต” จดบันทึกได้แก่ เรื่องเล่าจากกิจกรรม ขุมความรู้จากกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บันทึกการประชุมและบันทึกอื่นๆ  
            5. "คุณวิศาสตร์" คือ นัก IT ที่เข้ามาช่วยเป็นทีมงาน KM คำว่า "วิศาสตร์" มาจากคำว่า "IT wizard" หรือพ่อมดไอที จะเข้ามาช่วยคิดเรื่องการวางระบบ IT ที่เหมาะกับการดำเนินการ KM
            6. "คุณประสาน" ในการทำ KM แบบเครือข่าย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามองค์กร "คุณประสาน" จะทำหน้าที่ประสานงานให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกันภายในเครือข่าย ทำให้เกิดการเรียนรู้ฝังลึก เกิดการหมุนเกลียวความรู้ได้อย่างมีพลังมาก เรียกว่า "การหมุนเกลียวความรู้ผ่านเขตแดน"
โมเดลปลาทู
pratoo
            โมเดลปลาทูมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ ส่วนเป้าหมาย (หัวปลา) ส่วนกิจกรรม (ตัวปลา) และ ส่วนการจดบันทึก (หางปลา)
            "หัวปลา" (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนเป้าหมาย ได้แก่ ปณิธานความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “หัวปลา” นี้จะต้องเป็นของ “คณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “คุณเอื้อ” และ “คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ 
            "ตัวปลา" (Knowledge Sharing-KS) หมายถึง ส่วนกิจกรรม ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง “คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม
            "หางปลา" (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ “คลังความรู้” หรือ “ขุมความรู้” ที่ได้จากการเก็บสะสม “เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ “หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การจดบันทึก เป็นการจดบันทึกความรู้ เทคนิค เคล็ดลับในการทำงานที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ควรบันทึกในหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ผังมโนทัศน์ (Mind Map) และรูปแบบอื่นๆ ให้สมาชิกในองค์กรเข้าถึง เอาไปปรับใช้ได้ตลอดเวลา และเก็บคลังความรู้เหล่านี้ในรูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information and Communication Technology - ICT) ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป 
โมเดลปลาตะเพียน 
pratapeian
            "โมเดลปลาตะเพียน" เป็นบทขยายของ "โมเดลปลาทู" ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น "หัวปลาใหญ่" เป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานร่วมกันกำหนด ที่เรียกว่า วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หรือปณิธานความมุ่งมั่นร่วม (Common Purpose) หรือเป้าหมายร่วม (Common Goal) เมื่อร่วมกันกำหนดแล้ว ก็ร่วมกันดำเนินการตามเป้าหมายนั้น เปรียบเสมือนการที่ "ปลาเล็ก" ทุกตัว "ว่ายน้ำ" ไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่แต่ละตัวมีอิสระในการ "ว่ายน้ำ" ของตนเอง ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่ "บริหารหัวปลา" และคอยดูแล "บ่อน้ำ" ให้ "ปลาเล็ก" ได้มีโอกาสใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ของตนในการ "ว่ายสู่เป้าหมายร่วม" ทุกหน่วยงานย่อยเองก็ต้องคอยตรวจสอบว่า "หัวปลาเล็ก" ของตนหันไปทางเดียวหกับ "หัวปลาใหญ่" ขององค์กรหรือไม่ 

บรรณานุกรม
กรรณิการ์ สุธรรมศิรินุกูล. 2255. บทบาทการดำเนินงาน และทักษะ คุณเอื้อ คุณอำนวย คุณกิจ  คุณลิขิต. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:  http://kmlibrary.bu.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=31:2011-02-24-03-37-24&catid=13:2010-12-22-04-02-34&Itemid=14. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2556.
ประเวศ วะสี. 2548. การจัดการความรู้ : กระบวนการปลดปล่อยมนุษย์สู่ศักยภาพ เสรีภาพ และความสุข. กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม. 
วิจารณ์ พานิช. 2549. KM วันละคำ จากนักปฏิบัติ KM สู่นักปฏิบัติ KM. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ. 
วิจารณ์ พานิช. การจัดการความรู้คืออะไร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:  http://www.kmi.or.th/kmi-articles/prof-vicharn-panich/28-0001-intro-to-km.html. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2556.
 
 
Blogger Templates